เมื่อพูดถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่าย หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “Throughput” และ “Bandwidth” สองคำนี้มีความสำคัญมากในการเข้าใจว่าการเชื่อมต่อของเรามีประสิทธิภาพแค่ไหน แม้ว่าทั้งสองคำนี้จะเกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูล แต่มีความหมายและการใช้งานที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาอธิบายให้คุณเข้าใจแบบง่ายๆ และละเอียดมากขึ้น
Bandwidth คืออะไร?
ลองนึกภาพว่าคุณมีท่อน้ำหนึ่งเส้น Bandwidth ก็คือขนาดของท่อน้ำนั้น ถ้าท่อใหญ่ก็สามารถให้น้ำไหลผ่านได้มากและเร็ว Bandwidth ก็คือขนาดของท่อข้อมูลของคุณ ซึ่งบอกได้ว่าคุณสามารถส่งข้อมูลได้มากแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณบอกว่าคุณมี Bandwidth 100 Mbps นั่นหมายความว่าในทางทฤษฎีคุณสามารถดาวน์โหลดหรืออัปโหลดข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 100 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps)
แต่ Bandwidth ไม่ได้บอกว่าคุณจะได้รับความเร็วนั้นจริงหรือไม่ มันเป็นแค่ความสามารถสูงสุดที่เครือข่ายของคุณรองรับได้
Throughput คืออะไร?
Throughput คือปริมาณข้อมูลที่คุณส่งผ่านเครือข่ายได้จริงๆ ลองนึกภาพกลับไปที่ท่อน้ำ ถ้าท่อของคุณมีขนาดใหญ่ (Bandwidth มาก) แต่มีการอุดตันอยู่ น้ำก็จะไหลได้ช้าลง Throughput ก็คือการวัดปริมาณข้อมูลที่ไหลผ่านเครือข่ายของคุณได้จริง ซึ่งมักจะต่ำกว่า Bandwidth เพราะมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การชนกันของข้อมูล การสูญหายของข้อมูล ความหน่วงเวลา เป็นต้น
ดังนั้นแม้ว่าคุณจะมี Bandwidth 100 Mbps แต่ในความเป็นจริง Throughput ที่คุณใช้งานได้อาจอยู่ที่ 70 Mbps หรือ 50 Mbps ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและปัจจัยอื่นๆ
เปรียบเทียบ Bandwidth กับ Throughput
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองเปรียบเทียบการใช้งานถนน:
- Bandwidth คือความกว้างของถนน หากถนนมีหลายเลน ก็สามารถรับรถยนต์ได้มากขึ้นและรถก็สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
- Throughput คือจำนวนรถยนต์ที่สามารถวิ่งผ่านถนนนั้นได้จริงๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น การจราจรติดขัดหรืออุบัติเหตุ
ถนนที่กว้าง (Bandwidth สูง) แต่มีรถติดมาก (Throughput ต่ำ) ก็ไม่สามารถนำรถไปได้เร็วเท่าที่ควร ดังนั้นถ้าคุณต้องการให้รถวิ่งได้เร็วขึ้น คุณต้องไม่เพียงแค่มีถนนกว้างขึ้น แต่ต้องลดการติดขัดบนถนนด้วย
ทำไม Bandwidth กับ Throughput ถึงสำคัญ?
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Bandwidth และ Throughput จะช่วยให้คุณสามารถเลือกและปรับปรุงการใช้งานเครือข่ายได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังเลือกซื้อบริการอินเทอร์เน็ต คุณควรพิจารณาทั้ง Bandwidth ที่ผู้ให้บริการเสนอให้ และ Throughput จริงที่คุณจะได้รับในสถานการณ์การใช้งานจริง
หากคุณเลือกใช้บริการที่มี Bandwidth สูง แต่ Throughput ต่ำ คุณอาจจะรู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตของคุณยังคงช้าอยู่ แม้คุณจะจ่ายเงินสำหรับแพ็คเกจความเร็วสูงก็ตาม ดังนั้นควรเลือกใช้บริการที่มี Bandwidth และ Throughput ที่สมดุลและเหมาะสมกับการใช้งานของคุณ
การรู้จักและเข้าใจ Bandwidth และ Throughput จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้งานเครือข่ายได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในองค์กร ทั้งยังช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้บริการอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์เครือข่ายได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น